วอนรัฐห่วงหัวเด็กไทยแจกหมวกกันน็อกก่อนแท็บเล็ต
เผยหัวเด็กไทยถูกน็อกกว่า 5,000 รายต่อปี
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการชมรมคนห่วงหัว ในมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า
จากการสำรวจข้อมูลการสวมหมวกกันน็อกของกลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนในพื้นที่
กรุงเทพมหานคร โดยชมรม “คนห่วงหัว” เมื่อต้นปี 2554 ที่ผ่านมาพบว่า มีสถิติที่ต่ำมากโดยมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.5 และจากสถิติข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี มีการบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์โดยที่ไม่สวมหมวกกันน็อก มีจำนวนสูงกว่าปีละ 5,000 คน หรือประมาณการได้ว่าแต่ละวันมีเด็กไทยหัวถูกน็อกจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์มากถึง ๑๔ คน
นโยบายด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยที่ผ่านมา แม้จะเคยถูกกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งหามาตรการในการแก้ไขปัญหา แต่การดำเนินงานยังไม่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เนื่องจากขาดความจริงจังและต่อเนื่อง ดังนั้น ในโอกาสที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ ปี 2554 - 2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน โดยเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกร่วมกันกำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในอีก 10 ปีข้างหน้าให้เหลือร้อยละ 50 ประกอบกับประเทศไทยได้ประกาศให้ปี 2554 เป็นปีรณรงค์สวมหมวกกันน็อก 100% จึงเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลชุดนี้จะร่วมขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยให้แก่คนไทย โดยเริ่มจากความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังของชาติในอนาคตเป็นลำดับแรก
การที่รัฐบาลประกาศนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนทั่วประเทศ ถือเป็นนโยบายในการส่งเสริมด้านการศึกษาให้แก่เด็ก แต่นโยบายดังกล่าวจะไม่เกิดประโยชน์หากเด็กได้รับแท็บเล็ตโดยที่สมองพิการหรือไม่มีหัวที่จะให้เรียนรู้ต่อไปได้
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กระบุไว้ว่า “เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองในทุกรูปแบบที่จะเป็นอันตรายต่อเด็ก...” อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์กำลังเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเด็กซึ่งผู้ใหญ่ต้องมีหน้าที่ในการดูแลให้เกิดความปลอดภัย หมวกกันน็อกถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะที่เป็นการลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูง สามารถช่วยชีวิตเด็กได้ ในขณะที่หมวกกันน็อกเด็ก 1 ใบราคาประมาณ 200 บาท แท็บเล็ต 1 เครื่องราคาประมาณ 3,000 บาท ดังนั้น ไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลจะแจกหมวกกันน็อกให้กับเด็กไม่ได้ จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการแจก
หมวกกันน็อกให้แก่เด็กเป็นลำดับแรกก่อนที่จะแจกแท็บเล็ต เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของเด็กไทย
“แท็บเล็ตไม่มีความหมาย ถ้าเด็กไทยไม่มีหัวที่จะใช้เรียนรู้”