เหยื่ออุบัติเหตุ ถกกฎหมายใหม่
เตือนเมาแล้วขับซ้ำภายใน 2 ปี ศาลไม่ปรานี จำคุกสถานเดียว
วันนี้ ( 3 กันยายน 2565 ) ณ ห้องเจ้าพระยาเทอเรซ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ
เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับในมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้จัดให้มีการอบรมผู้นำเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสู่ยุทธศาสตร์ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมีสมาชิกเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับจากทั่วประเทศ และผู้ถูกคุมประพฤติมาร่วมประชุม ทั้งนี้ หัวข้อในการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ การบังคับใช้ พรบ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13 ) แก้ไขใหม่ซึ่งจะมีผลในวันที่ 5 กันยายน 2565
นายภัทรพันธุ์ กฤษณา ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ เปิดเผยว่า
เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับได้ประชุมสมาชิกทั่วประเทศเพื่อรับทราบถึง พรบ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 ที่ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 กันยายน 2565 ที่จะถึงนี้ โดยเฉพาะประเด็นการเมาแล้วขับซ้ำภายใน 2 ปี หลังจากที่เคยโดนศาลพิพากษาให้รอการลงโทษคุมประพฤติมาแล้ว ซึ่งในอดีตผู้ที่เมาแล้วขับซ้ำ ศาลจะเมตตาให้โอกาส รอการลงโทษ คุมประพฤติเพื่อจะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติในสังคม แต่หลังจากวันที่ 5 กันยายน 2565 ตามมาตรา160 ตรี/3 ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 160ตรี/3 และได้กระทำผิดซ้ำอีกภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำผิดครั้งแรก ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ
เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับจึงขอเตือนไปยังผู้ที่ยังมีพฤติกรรมเมาแล้วขับทั้งหลาย ถ้าท่านยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ท่านจะต้องไปใช้ชีวิตในเรือนจำ หมดอนาคต ดังนั้น จึงอยากขอวิงวอน ถ้าจะต้องมีกิจกรรมที่ต้องสังสรรค์ มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอให้ใช้บริการรถสาธารณะ หรือมิฉะนั้นก็ใช้บริการ U DRINK I DRIVE ที่เป็นบริการขับรถส่งคนเมากลับบ้าน แน่นอนทางผู้ให้บริการจะคิดค่าใช้จ่าย แต่ก็คุ้มค่ากว่าที่ต้องถูกศาลตัดสินจำคุก
ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ เปิดเผยต่อไปว่า
ในช่วงที่โควิดแพร่ระบาด ปี 2563-2564 สถานบันเทิงปิด สถิติอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับลดน้อยลงไปมาก แต่หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด สถิติอุบัติเหตุเมาแล้วขับเพิ่มสูงขึ้นจนน่าวิตก
เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้น จึงอยากขอสื่อสารไปถึงคนไทยทั่วประเทศ การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนไทยในด้านดีหลายด้าน สิ่งที่เห็นได้ชัด สถิติคนไทยสวมใส่หน้ากากอนามัยเพิ่มมากขึ้นจนสูงติดอันดับโลก แม้ว่าโควิดจะผ่อนคลายลง คนไทยก็ยังสวมใสหน้ากากอนามัย จนหน้ากากอนามัยถือเป็นปัจจัยที่ 6 ของชีวิต รองจากโทรศัพท์มือถือ พฤติกรรมเมาแล้วขับก็น่าจะเป็นสิ่งที่คนไทยปรับเปลี่ยนได้ เพื่อความปลอดภัยผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทาง นายภัทรพันธุ์ กล่าว