วันอาทิตย์ ที่ 7 มิ.ย. ทีมนักปั่นจักรยาน เมา+ขับ+จับ+ขัง สายเหนือ ถึง สิงห์บุรี แล้วเวลาประมาณ 13.45 น. แดดร้อนแต่ทีมนักปั่นสู้ตายค่ะ
วันนี้ เป็นวันที่12 ที่ขบวนนักปั่นจักรยานรณรงค์เมาขับจับขังได้ปั่นจักรยานเชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุนมาตรการเมาขับจับขัง
โดยนักปั่นในสายภาคใต้นำโดยคุณลุงมานิตย์ อินทฤทธิ์ อายุ 70ปี ปั่นจักรยานจากอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี มาตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.2558 ขณะนี้ถึงจังหวัดราชบุรีแล้ว
ส่วนในสายภาคเหนือ นำโดย น.ส.ก้องกานต์ น.ส.นินนท์ ย่องลั่น บุตรสาวนายชัยรัตน์ ย่องลั่น เหยื่อผู้โดนคนเมาแล้วขับชน ปั่นจักรยานออกจากจังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 3 มิ.ย.2558 ขณะนี้ถึงจังหวัดสิงห์บุรีแล้ว
สำหรับในสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกเดินทางจากจังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2558 ขณะนี้ถึงจังหวัดอยุธยาแล้ว
และในสายภาคตะวันออก เริ่มปั่นจักรยานในวันนี้วันที่ 7 มิ.ย. 2558 จากจังหวัดระยอง ขณะนี้ถึงจังหวัดชลบุรี โดยนักปั่นจักรยานทุกสายจะมาถึงกรุงเทพฯในวันที่ 8 มิ.ย. 2558 และจะเข้าพักที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ จากนั้นในวันที่ 9 มิ.ย.2558 คณะนักปั่นทั้งหมดจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจและขอบคุณที่นายกฯ ให้ความสำคัญกับปัญหาอุบัติเหตุเมาแล้วขับและนโยบายส่งเสริมการใช้จักรยาน หลังจากนั้นจะเดินทางต่อไปศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อยื่นรายชื่อประชาชนที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนมาตรการเมาขับจับขังกับประธานศาลฎีกา จากนั้นทั้งหมดก็จะเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และให้เกียรติถ่ายรูปร่วมกับ 54 ภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ที่ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์จัดตั้งองค์กรเพื่อถนนปลอดภัย ณ หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย
สุดทึ่งคุณลุงมานิตย์ วัย 70
ปั่นจักรยานรณรงค์เมาขับจับขัง
เส้นทางปัตตานี – ทำเนียบรัฐบาล
เครือข่ายผู้ใช้จักรยานประเทศไทย มูลนิเมาไม่ขับ ได้รับแจ้งว่า คุณลุงมานิตย์ อินทฤทธิ์ วัย 70 ปี นักปั่นจักยานผู้มีหัวใจห่วงใยอุบัติหตุบนท้องถนน จะอาสาปั่นจักรยานจากอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 เวลา 12.30 น. มายังทำเนียบรัฐบาล รวมระยะทาง 1,055 กิโลเมตร โดยจะใช้เวลาในการปั่น 14 วัน ทั้งนี้เพื่อขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนน
โดยจะมอบดอกไม้ให้กำลังใจและรายชื่อประชาชนที่ให้การสนับสนุนมาตรการลดอุบัติเหตุเมาขับจับขัง กับ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้การปั่นจักรยานรณรงค์เมาขับจับขัง เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เครือข่ายผู้ใช้จักรยานทั่วประเทศได้กำหนดขึ้น โดยจะมีนักปั่นจากทั่วประเทศรวมใจกันปั่นจักรยานเพื่อรณรงค์มาตรการเมาขับจับขัง
ซึ่งเส้นทางที่นักปั่นจะรณรงค์นั้นประกอบด้วยภาคใต้ นำโดยคุณลุงมานิตย์ อินทฤทธิ์ ภาคตะวันออก นำโดยนายธะนะวัฒน์ เปรมจิต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำโดยนายวิทยา ศรีศาลา ภาคกลาง นำโดยนายกิตติ สุวัฒน์เมฆินทร์ และภาคเหนือ นำโดยน้องก้องกานต์ และน้องนินนท์ ย่องมั่น บุตรสาวนายชัยวัฒน์ ย่องลั่น เหยื่อจากคนเมาแล้วขับชนเสียชีวิต ขณะปั่นจักรยานที่จังหวัดเชียงใหม่
น.ส.ก้องกานต์ ย่องลั่น เปิดเผยว่า “ชีวิตของคุณพ่อคงไม่มีวันที่จะหวนคืนกลับมาได้ แต่หากความตายของคุณพ่อจะช่วยทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย โดยเฉพาะกับคนที่เมาแล้วขับ ต้องได้รับการลงโทษที่รุนแรง คุณพ่อก็จะไม่ตายฟรี “
อย่างไรก็ตาม ขบวนจักรยานรณรงค์เมาขับจับขัง ทุกเส้นทาง กำหนดจะถึงทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 9 มิถุนายน 2558 เวลา 8.00 น. โดยนักปั่นทั้งหมดจะปั่นจักรยานไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อมอบดอกไม้ให้กำลังใจในการทำงานกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นจะปั่นจักรยานต่อไปยังศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อมอบรายชื่อประชาชนที่ร่วมสนับสนุนมาตรการเมาขับจับขังกับประธานศาลฎีกา รายงานข่าวกล่าว
ผู้ประสานงานขบวนรถจักรยานรณรงค์เมาขับจับขัง
ภาคเหนือ นายมงคล งานขยัน 081-8811707
นายรังสรรค์ จันต๊ะ 086-1944357
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายวิทยา ศรีศาลา 086-2279573
ภาคตะวันออก นายธะนะวัฒน์ เปรมจิต 094-6986380
ภาคใต้ นายมานิตย์ อินทฤทธิ์ 087-5349939
ภาคกลาง นายกิตติ สุวัฒน์เมฆินทร์ 081-6348718
เสนอ 3 มาตรการ บิ๊กตู่จัดการพวกเมาแล้วขับ
จำคุก –ขัง ร้านขาย ขับไปชนตาย เจ้าของโดนด้วย
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า
มูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมกับชมรมนักปั่นจักรยาน อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ และกลุ่มเพื่อนนักปั่นจักรยานที่ห่วงใยปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนจากทั่วประเทศเสนอมาตรการเพื่อจัดการอุบัติเหตุบนท้องถนนกับผู้ที่เมาแล้วขับไปยังท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แก่
1.ขอให้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศให้นโยบายเรื่องการลดความสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ทุกหน่วยงานต้องตอบสนอง มีตัวชี้วัดที่ประเมินผลได้
2.ขอให้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการให้ทหารทั่วประเทศมาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจ ในการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับ และจัดการอุบัติเหตุบนท้องถนน
3.ขอให้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอความร่วมมือไปยังผู้พิพากษาทั่วประเทศ ขอให้ใช้ดุลพินิจตัดสินผู้ที่เมาแล้วขับ ด้วยโทษกักขังหรือจำคุก โดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้รวมไปถึงร้านค้าที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่เมาแล้วขับไปก่อเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตให้มีความผิดด้วย
ซึ่งทั้ง 3 มาตรการที่เสนอนี้ ทางชมรมนักปั่นจักรยาน กำลังหารือกันอยู่ถึงแนวทางการนำไปยื่นต่อท่านนายกรัฐมนตรี เป็นไปได้ที่ทางนักปั่นจากทั่วประเทศอาจจะร่วมใจกันปั่นจักรยานจากทั่วประเทศไปยื่นหนังสือให้กับนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำเนียบรัฐบาล ในเร็ว ๆ นี้ เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าว
รวมพลังจักรยานทั่วประเทศล่า 1 ล้านชื่อ
ยื่นนายกฯขอ "เมาขับจับขัง" ไม่รอลงอาญา
วันนี้ 23 พฤษภาคม 2558 ณ ห้องไกรทอง โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ
เครือข่ายผู้ใช้จักรยานทั่วประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “เมาขับจับขัง” เพื่อขอให้สังคมเห็นด้วยกับการใช้ยาแรงกับผู้ที่เมาแล้วขับ คาดว่าจะลดคนเมาแล้วขับได้แน่นอน
นายกฤษดา กำแพงแก้ว ประธานโครงการรณรงค์ “เมาขับ จับขัง “ เปิดเผยว่า
โศกนาฎกรรมนักปั่นจักรยานถูกคนเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 3 ศพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้กลุ่มนักปั่นจักรยาน มีความเห็นพ้องกันว่าถ้ายังมีคนเมาขับรถอยู่บนท้องถน ก็ยังไม่สามารถจะรับประกันความปลอดภัยได้ มีโอกาสเสียชีวิตสูงมากจึงมีแนวความคิดที่จะขอให้ผู้มีอำนาจได้ใช้ยาแรงกับพวกที่เมาแล้วขับ โดยเห็นว่าหากใช้โทษกักขังหรือจำคุกแบบไม่รอลงอาญา ซึ่งไม่ต้องไปแก้ไขกฎหมายเดิมแต่อย่างใดก็จะทำให้พวกที่เมาแล้วขับเกิดความเกรงกลัวและไม่กล้ามาขับรถอีก จึงได้รวมตัวกันรณรงค์ล่ารายชื่อของประชาชนที่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เพื่อนำไปมอบให้กับนายกรัฐมนตรีและประธานศาลฎีกาเพื่อช่วยให้แนวคิดดังกล่าวได้เป็นจริงขึ้นมา โดยตั้งเป้าล่าให้ได้ 1,000,000ชื่อ แล้วจะมอบให้นางสาวก้องกานต์ ย่องลั่น บุตรสาวของนายชัยรัตน์ ย่องลั่น 1 ในเหยื่อผู้สูญเสียขี่จักรยานจากเชียงใหม่ นำรายชื่อดังกล่าวไปมอบให้กับนายกฯ โดยจะออกเดินทางในวันที่ 3 มิถุนายน 2558 พร้อมกับนักปั่นจักรยานของชมรม
สันทราย ผ่านจังหวัดลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง และอยุธยา คาดว่าจะถึงกรุงเทพมหานครในวันที่ 9 มิถุนายน 2558 โดยนางสาวก้องกานต์ ได้กล่าวว่า “ชีวิตของคุณพ่อคงไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาได้ แต่หากความตายของคุณพ่อสามารถทำให้เกิดยาแรงกับพวกเมาแล้วขับได้คุณพ่อก็จะไม่ตายฟรี”
นายกิตติ สุวัฒน์เมฆินทร์ ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้จักรยานประเทศไทย กล่าวว่า
“พอทราบข่าวว่าทางเชียงใหม่จะปั่นจักรยานรณรงค์ “เมาขับจับขัง” จึงชักชวนเพื่อนนักปั่นจากทุกภาคมาร่วมกันปั่นเพื่อมาสมทบกับขบวนของเชียงใหม่ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นนอกจากจะมีนักปั่นจากภาคเหนือที่เป็นแกนหลักแล้ว ยังมีนักปั่นจากภาคใต้ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มาร่วมกันล่ารายชื่อให้ได้ 1 ล้านชื่อ เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ “
ทางด้านนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า
เห็นด้วยกับการใช้ยาแรงดังกล่าว ที่ผ่านมา 20ปีมูลนิธิเมาไม่ขับได้รณรงค์มาตลอด แต่ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควรในปัจจุบันประเทศไทยติดอันดับประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ1 ในทวีปเอเชีย ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิต 24,000 คน บาดเจ็บกว่า 1,00,000 คน พิการอีกกว่า 50,000 คน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี และความสูญเสียดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากการเมาแล้วขับ แม้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเมาแล้วขับอยู่ในขั้นที่เบาส่วนใหญ่จะแค่ปรับและคุมประพฤติส่วนโทษจำคุกมักรอลงอาญา ทำให้คนไม่เกรงกลัวและพร้อมที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย
ทั้งนี้จากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ได้ทำการวิจัยไว้พบว่า ผู้ที่เมาแล้วขับกว่าร้อยละ 90 มีความเห็นว่าถ้าบทลงโทษของกฎหมายมีความรุนแรงถึงขั้นจำคุกหรือกักขัง ผู้ที่เมาแล้วขับจะไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากกลัวบทลงโทษที่จะได้รับ
“ต่อจากนี้ไป จะไม่รณรงค์แค่เมาไม่ขับเท่านั้น แต่จะเพิ่มเป็น เมาขับจับขัง และจะเป็นก้าวใหม่ในการขับเคลื่อนของมูลนิธิเมาไม่ขับ อยากวิงวอนไปยังผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรมขอให้ลงโทษผู้ที่เมาแล้วขับสถานหนัก เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตของคนไทยซึ่งจะเป็นการคืนความสุขให้คนไทยได้อย่างแท้จริง” เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวในที่สุด