คลิกดาวน์โหลกเอกสาร PDF
แบบฟอร์มการขอตรวจวัดแอลกอฮอล์คู่กรณี
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ทำงานขับเคลื่อนการรณรงค์และสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับมา 23 ปี ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ค้นพบก็คือบนท้องถนนยังมีคนเมาแล้วขับส่งผลให้เกิดเหยื่อเมาแล้วขับที่ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัสหมดสิ้นซึ่งอนาคตที่วาดหวังไว้เป็นจำนวนมาก
ทั้งที่ประเทศไทยมีกฎหมายเมาไม่ขับบังคับใช้มานานมูลนิธิเมาไม่ขับก็ยังได้รับการร้องเรียนจากเหยื่อเมาแล้วขับอยู่เสมอว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยอาศัยเล่ห์เหลี่ยมช่องว่างทางกฏหมายหรือความรู้ไม่เท่าทันของเหยื่อทำให้ไม่ได้รับการเยียวยาและชดเชยเท่าที่ควรจะได้กลายเป็นเหยื่อซ้ำสองทำให้ต้องตกอยู่ในความเจ็บปวดรวดร้าวไปตลอดชีวิต
ตนจึงเห็นว่าถึงเวลาที่คนไทยต้องเปลี่ยนความคิด เลิกเห็นใจคนเมาแล้วขับและหันมามองถึงความสูญเสียของเหยื่อเมาแล้วขับที่ถูกกระทำจากการรวบรวมข้อมูลของเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับพบว่ารูปแบบการเอารัดเอาเปรียบเหยื่อเมาแล้วขับมีสารพัดวิธี อาทิเช่น 1.ผู้ก่อเหตุหลบเลี่ยงการตรวจแอลกอฮอล์ 2.ประวิงเวลาในระหว่างที่เหยื่อรักษาตัว เพื่อให้คดีขาดอายุความ 3.เสนอค่าเยียวยาให้จำนวนหนึ่ง โดยแจ้งกับเหยื่อว่าถ้าอยากได้มากกว่าที่เสนอให้ ก็ให้ไปฟ้องร้องต่อศาลเอาเอง 4.ให้เซ็นเอกสารโดยไม่มีข้อความใด ๆ 5.วิ่งเต้นให้ตกเป็นผู้ต้องหาในฐานะประมาทร่วม เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ 6. ยอมทำข้อตกลงในการเยียวยาเหยื่อด้วยการขอผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนถึงเวลาจริงกลับเบี้ยวไม่ผ่อนชำระให้
จากกรณีดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าการขาดความรู้ที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องกลายเป็นเหยื่อซ้ำสอง สร้างความเจ็บปวดจนยากที่บรรยายได้ เหตุนี้ มูลนิธิเมาไม่ขับจึงได้จัดตั้ง "ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อเมาแล้วขับ" เพื่อให้คำแนะนำปรึกษาเบื้องต้นในการต่อสู้คดีกับท่านที่ตกเป็นเหยื่อจากคนเมาแล้วขับและไม่ทราบว่าจะต่อสู้อย่างไรโดยทีมทนายอาสาที่มีประสบการณ์ในคดีอุบัตเหตุจราจรมานานโดยไม่คิดมูลค่า มูลนิธิเมาไม่ขับคาดหวังว่าจะสามารถนำความยุติธรรมและความเป็นธรรมกลับมาและไม่ต้องตกเป็นเหยื่อช้ำสองอีกต่อไปโดยท่านสามารถติดต่อขอคำปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ที่โทรศัพท์ 081-4439953ID ไลน์ 0814439953ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อเมาแล้วขับ
1. กรณีเกิดเหตุถ้าพบว่าคู่กรณีมีอาการเมาสุราให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตรวจแอลกอฮอล์ในทันที
2. ถ้าคู่กรณีปฏิเสธการตรวจแอลกอฮอล์ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับกับคู่กรณีได้ทันทีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับกฎหมายปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ (เมาไม่เป่า) บังคับใช้แล้วตั้งแต่1 มกราคม 2559
3. ถ้ารถมีประกันภัยภาคสมัครใจให้แจ้งบริษัทประกันภัย
4. อย่าเซ็นเอกสารใดๆ โดยไม่ได้อ่านข้อความอย่างเด็ดขาด
5. รวบรวมข้อมูลของคู่กรณีตั้งแต่เกิดเหตุ เช่นการพูดจาข่มขู่ดูถูกเหยียดหยามไม่แสดงออกถึงความรับผิดชอบที่ตนเองก่อขึ้นท้าให้ไปฟ้องศาล พูดจาทำร้ายจิตใจ หรือถ้ามีกล้อง มีโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปเจ้าหน้าที่ คู่กรณี พูดว่าอะไร แสดงพฤติกรรมเช่นไรถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จะนำประกอบคำร้องต่อศาลถึงพฤติกรรมของคู่กรณี เพื่อให้ศาลพิจารณาลงโทษคู่กรณีสถานหนักได้
6. อย่าเกรงใจใครไม่ว่าจะมีหน้าที่การงานใหญ่โตมาขอร้องให้ยอมๆ กันไปถ้าตราบใดที่ผู้ก่อเหตุไม่แสดงความรับผิดชอบในความผิดที่ก่อขึ้นเพราะเท่ากับเป็นการบ่มเพาะนิสัยที่ไม่รับผิดชอบทำให้ไม่เข็ดหลาบในที่สุดก็ไปก่อเหตุซ้ำซากอีก
7. ถ้ามีข้อสงสัยต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อเมาแล้วขับ 081-4439953 ID Line 0814439953 หรือ โทรศัพท์ 02-5750044,02-5750101
1. ผู้ก่อเหตุหลบเลี่ยงการตรวจแอลกอฮอล์
2. ประวิงเวลาในระหว่างที่เหยื่อรักษาตัวเพื่อให้คดีขาดอายุความ
3. เสนอค่าเยียวยาให้จำนวนหนึ่งโดยแจ้งกับเหยื่อว่า ถ้าอยากได้มากกว่าที่เสนอให้ก็ให้ไปฟ้องร้องต่อศาลเอาเอง
4. ให้เซ็นเอกสารโดยไม่มีข้อความใด ๆ
5. วิ่งเต้นให้ตกเป็นผู้ต้องหาในฐานะประมาทร่วมเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ
6. ยอมทำข้อตกลงในการเยียวยาเหยื่อด้วยการขอผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนถึงเวลาจริงกลับเบี้ยวไม่ผ่อนชำระให้
7. เอาผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่การงานมีหน้าตาในสังคมมาข่มขู่บังคับให้ยอมความ
8.ต่อสู้คดีในศาลในระหว่างนั้นยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินให้กับบุคคลอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดี เมื่อคดีถึงที่สุดเหยื่อได้แต่คำพิพากษา แต่ค่าชดใช้ไม่ได้เพราะผู้ก่อเหตุไม่มีทรัพย์สินให้ยึด
9. หลบหนีในระหว่างการประกันตัวรอจนคดีหมดอายุความ
10. ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ลงโทษสถานเบาขอให้รอลงอาญาโดยอ้างว่าเป็นความประมาทไม่ได้เจตนา