ข่าวประชาสัมพันธ์


ข่าวพระนครศรีอยุธยาจังหวัดเมาไม่ขับ

เมาไม่ขับจับมือผู้ว่ากรุงเก่าฯ

“เปิดตัวอยุธยา จังหวัดเมาไม่ขับ”

 

จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกสูง โดยในปี 2552

มีผู้เสียชีวิต 204 ราย บาดเจ็บสาหัส 178 ราย  การเมาแล้วขับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุการจราจร

โครงการ“พระนครศรีอยุธยาจังหวัดเมาไม่ขับ”เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายวิทยา ผิวผ่อง ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับและภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ ,ภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมกันรณรงค์ลดอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับ กวดขันจับกุมผู้ขับขี่เมาสุราที่ฝ่าฝืนกฎจราจร อีกทั้งกระตุ้นจิตสำนึกผู้ขับขี่ให้มีความรับผิดชอบในชีวิตตัวเองและผู้อื่น ทั้งนี้เพื่อให้พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็น “จังหวัดเมาไม่ขับ” อย่างแท้จริง

สำหรับลักษณะโครงการจะแบ่งเป็น 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรมเชิญชวนประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาร่วมกันรณรงค์ลดอุบัติเหตุจราจรเมาไม่ขับอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าจะลดอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้เป็นศูนย์หรือน้อยที่สุด 2.การตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการกวดขันจับกุมผู้ขับขี่เมาสุรา รวมถึงควบคุมสถานบันเทิงอย่างเข้มงวด นอกจากนั้นแล้ว จะมีการจัดทำฐานข้อมูลผู้กระทำผิดในคดีเมาแล้วขับเพื่อเชื่อมโยงกับอัยการและศาลในกรณีที่มีการกระทำผิดซ้ำในคดีเมาแล้วขับเพื่อประกอบเป็นข้อมูลในการพิจารณาคดีในชั้นศาล

นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า

โครงการ“พระนครศรีอยุธยาจังหวัดเมาไม่ขับ”ถือเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยผลักดันพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดเมาไม่ขับ กวดขันจับกุมผู้ขับขี่เมาสุราที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าผู้ขับขี่มีความรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเองและผู้อื่นจะทำให้ลดอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับได้อย่างแน่นอน.

“ตนเชื่อว่าถ้าประชาชนในพื้นที่จังหวัดอยุธยาให้ความร่วมมือกับโครงการดังกล่าวจะช่วยลดจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตให้ลดน้อยลงได้.

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า

โครงการ “พระนครศรีอยุธยา จังหวัดเมาไม่ขับ” เป็นความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วนที่จะทำให้ถนนทุกสายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาปลอดคนเมาแล้วขับ อีกทั้งต้องการสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงอุบัติเหตุที่เกิดจากการเมาแล้วขับนำมาถึงความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีถนนสายหลัก สายรองเป็นเส้นทางผ่านไปจังหวัดต่างๆถึง 46 จังหวัด จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรในจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจร สาเหตุสำคัญมาจาก “การเมาแล้วขับ” จากข้อมูลปี 2552 มีผู้เสียชีวิต 204 ราย ผู้บาดเจ็บ 178 ราย โครงการ “พระนครศรีอยุธยาจังหวัดเมาไม่ขับ” จะเกิดเป็นรูปธรรมได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันเอาจริงเอาจังกับผู้เมาแล้วขับ จะสามารถลดอุบัติเหตุจราจรให้น้อยลงได้.

 

ข่าวประชาสัมพันธ์ “ข่าวพระนครศรีอยุธยาจังหวัดเมาไม่ขับ” คลิ๊กได้ที่ www.ddd.or.th

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 081-831-7747

 

 

18 ส.ค. 53 / อ่าน 3048

ข่าวทอดผ้าป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์

ทำบุญเข้าพรรษาทอดผ้าป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ 

ลดสถิติตาย – เจ็บจากเมาแล้วขับ

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า

เทศกาลเข้าพรรษาเป็นช่วงสำคัญที่พี่น้องชาวไทยจะได้ร่วมกันทำบุญถวายเป็นพุทธบูชาตามประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ซึ่งในปีนี้ มูลนิเมาไม่ขับได้ร่วมกับ สสส.และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ ภาครัฐ ภาคเอกชน ริเริ่มโครงการทำบุญแนวใหม่ เชิญชวนประชาชนร่วมทอดผ้าป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะจัดหาเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์มอบให้กับตำรวจสำหรับใช้ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจจับผู้ที่เมาแล้วขับ  โดยจะนำร่องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดแรก โดยมีพระเทพวรเวที เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส

เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยต่อไปว่า

            ปัจจุบันสถานีตำรวจทั่วประเทศยังขาดแคลนเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์จำนวนมากทำให้การตรวจจับคนเมาแล้วขับไม่ได้ผลเต็มที่ โครงการทอดผ้าป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จึงเป็นการเชิญชวนคนไทยมาร่วมกันทำบุญสร้างกุศลช่วยชีวิตคนไทยในโอกาสเทศกาลเข้าพรรษา โดยนิติบุคคล กลุ่มบุคคล หรือบุคคลที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ สามารถตั้งกองผ้าป่าได้เอง โดยร่วมกับสถานีตำรวจในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์มีราคาถูกลงมาก เฉลี่ยราคาเครื่องละประมาณ 15,000 บาท ซึ่งกองผ้าป่า 1 กอง สามารถจัดซื้อเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์แบบตรวจวัดหาค่าแอลกอฮอล์เบื้องต้น (สกรีนนิ่งเทสต์)

ได้ 1 เครื่อง โดยผู้ร่วมทอดผ้าป่าสามารถจัดพิมพ์ข้อความชื่อองค์กรหรือบุคคลที่ร่วมทอดผ้าป่านี้ที่บริเวณเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ได้

นายแพทย์แท้จริง เปิดเผยต่อไปอีกว่า

ปี 2552 ที่ผ่านมามีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร 10,796 คน บาดเจ็บ 619,960 คน โดยเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ( ก.ค. – ต.ค.52 ) มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรสูงถึง 240 คน ดังนั้นการสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน โครงการทอดผ้าป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จึงเป็นความคิดริเริ่มที่อยากเชิญชวนคนไทยมาร่วมกันทำบุญแนวใหม่ โดยมาช่วยกันรักษาชีวิตคนไทย ไม่ให้ตาย ไม่ให้เจ็บ ในช่วงเข้าพรรษา น.พ.แท้จริง กล่าว

10 จังหวัด ที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ปี 2552

1. กรุงเทพฯ 530 คน

2. ชลบุรี 346 คน

3. เชียงใหม่ 346 คน

4. นครราชสีมา 315 คน

5. ขอนแก่น 268 คน

6. บุรีรัมย์ 245 คน

7. สุพรรณบุรี 242 คน

8. สุราษฎร์ธานี 230 คน

9. นครศรีธรรมราช 218 คน

10. ลพบุรี 208 คน

โดยเดือนที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือเดือนเมษายน และเดือนธันวาคม 

เดือนที่มีผู้เสียชีวิตน้อยสุด คือเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม

วันที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดในรอบปี คือวันที่ 13 เมษายน และวันที่ 31 ธันวาคม เฉลี่ยวันละ 70 คน

วันที่มีผู้เสียชีวิตน้อยสุด คือวันเข้าพรรษา เฉลี่ยวันละ 27 คน

          จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ "ทอดผ้าผ่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์" ท่านสามารถโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนสนับสนุนโครงการพระนครศรีอยุธยาจังหวัดเมาไม่ขับ ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 391-0-26876-5 สาขาศูนย์การค้าอยุธยาพาร์ค ประเภทออมทรัพย์

 

23 ก.ค. 53 / อ่าน 3393

บทความคดีเมาแล้วขับศาลให้รอลงอาญา

         มีข้อความเผยแพร่กันในหมู่นักเที่ยวราตรีเกี่ยวกับมาตรการตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะบอกถึงกลยุทธ์ในการหลบเลี่ยงเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมดำเนินคดี เริ่มตั้งแต่การประวิงเวลาในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือปฏิเสธการตรวจวัดไปเลย การโวยวายว่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ไม่ได้มาตรฐานและปฏิเสธการตรวจ การโวยวายกล่าวหาว่าตำรวจเลือกปฏิบัติในการตรวจรถ และถ้ายังไม่ได้ผลก็ให้ผู้ขับขี่ทิ้งรถหนีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ไปเลย ฯลฯ

16 ก.ค. 53 / อ่าน 31607

หมอแท้จริงเตือนดวดเหล้าดูบอล เสี่ยงอุบัติเหตุ-หัวใจวาย จับมือปอเต็กตึ๊งส่งคนเมากลับบบ้าน

หมอแท้จริงเตือนดวดเหล้าดูบอล

เสี่ยงอุบัติเหตุ – หัวใจวาย

จับมือปอเต็กตึ๊งส่งคนเมากลับบ้าน

 

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า

             มูลนิธิเมาไม่ขับ  มีความห่วงใยต่อสุขภาพของคนไทยที่ชมการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก2010 ซึ่งกำลังแข่งขันกันในขณะนี้ เป็นอย่างยิ่ง  เนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้จัดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งมีเวลาที่แตกต่างกับประเทศไทยประมาณ 5 ชั่วโมง ดังนั้น การถ่ายทอดสดให้แฟนบอลชาวไทยได้ชมทางสถานีโทรทัศน์จึงมีในช่วงค่ำๆ  โดยคู่แรกเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น. คู่ที่สองเวลา  21.00 น.และคู่ที่สามเวลา 01.30 น. ซึ่งกว่าจะจบการแข่งขันก็ประมาณ 04.00 น.ของทุกวัน  ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือ แฟนบอลที่ชมการถ่ายทอดทุกคู่หรือคู่ที่ถ่ายทอดในรอบดึกจะต้องอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอโดยเฉพาะคนทำงานหรือนักเรียนนักศึกษาที่ไม่มีเวลาได้หลับพักผ่อนชดเชยในช่วงเวลากลางวันจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก  ร่างกายจะอ่อนเพลียและยิ่งหากเป็นการชมฟุตบอลกับกลุ่มเพื่อนที่มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปด้วยยิ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอาทิเช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรค      เบาหวาน มีโอกาสหัวใจวายเฉียบพลันได้  ส่วนผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับและหลับในสูงขึ้นกว่าปกติ  ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพร่างกายที่อ่อนเพลียจากการอดนอนบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์   อย่างไรก็ตามจากสถิติเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 1 เดือน (มิ.ย.- ก.ค.49) ประเทศเยอรมัน เป็นเจ้าภาพ มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงถึง 895 ราย ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการเมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับ ขับรถเร็ว ขับรถด้วยความประมาท

นายแพทย์แท้จริง เปิดเผยต่อไปอีกว่า

            อยากจะขอฝากข้อแนะนำสำหรับแฟนบอลในการชมการถ่ายทอดฟุตบอลโลกครั้งนี้   ดังนี้

  1. ต้องจัดให้ตนเองมีเวลาพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง  ในกรณีที่มีการถ่ายทอดสดหลายคู่ให้เลือกชมเฉพาะคู่สำคัญๆ ที่ชื่นชอบ  เนื่องจากการถ่ายทอดฟุตบอลโลกในครั้งนี้มีระยะเวลายาวนานถึง 31 วัน การอดนอนติดต่อกันนานหลายวันเป็นอันตรายอย่างมากต่อสุขภาพ

2.    ในกรณีที่นัดหมายไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเพื่อชมการถ่ายทอดตามสถานบันเทิงต่าง ๆ ขอให้ใช้

บริการรถแท็กซี่จะปลอดภัย  

3.    ในกรณีที่ไปกันหลายคนทุกคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  และมีความจำเป็นต้องนำรถกลับบ้าน   

       สามารถติดต่อขอใช้บริการ “โครงการส่งคนเมากลับบ้าน”  ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งกับมูลนิธิเมาไม่ขับ โดยสามารถโทรศัพท์ไปที่ 02-226-4444 ทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจะจัดส่งอาสาสมัครไปช่วยขับรถพาท่านกลับบ้าน

4.    ถ้ารู้ตัวว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆ หรือง่วงนอนให้นอนพักไปเลย  อย่าฝืนขับในขณะที่

       ร่างกายทั้งเมาทั้งง่วง ยอมเสียเวลาดีกว่าต้องเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ  หรือถูกจับในคดีเมาแล้วขับ

       ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ประกอบการสถานบันเทิงทั้งหลายที่จัดสถานที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลให้

แฟนบอลได้รับชมมูลนิธิเมาไม่ขับอยากขอความร่วมมือจัดสถานที่ให้แฟนบอลได้นอนพักโดยอาจจะจัดทำเป็นลักษณะเตียงผ้าใบไว้บริการดีกว่าจะให้แฟนบอลเสี่ยงขับรถออกไปซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต บาดเจ็บและถูกตำรวจจับสูงมาก

            นอกจากนั้นแล้วใคร่ขอเตือนร้านค้า รวมทั้งสถานบันเทิงทั้งหลายในเรื่องการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังเวลา 24.00 น. ถือเป็นความผิดตามกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้รวมไปถึงการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ 081-831-7747

ดูข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์ “ข่าวหมอแท้จริงเตือนดวดเหล้าดูบอล” คลิ๊กได้ที่ www.ddd.or.th

 

 

16 มิ.ย. 53 / อ่าน 3221

อยุธยาเมาไม่ขับ

30 เม.ย. 53 / อ่าน 2972

สงกรานต์ปีนี้ มูลนิธิเมาไม่ขับ สสส.วอน อย่าหยุดยาว...

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับเปิดเผยว่า

เทศกาลสงกรานต์ปีนี้เป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันมากที่สุด คือ วันที่ 13-18 เมษายน 2553 รวม 6 วัน แต่จากการคาดการณ์ของมูลนิธิเมาไม่ขับและสสส. เชื่อว่าประชาชนจะเริ่มหยุดและมีการเดินทางกันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2553 เป็นต้นไป

2 เม.ย. 53 / อ่าน 2699


หน้า 54 จาก 58, แสดง 8, จำนวน 462 รายการ

ความคืบหน้าคดีดัง



QR Code DDD Line
ddd025750101